บทที่ ๑
บทนำ
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
ในปัจจุบันนั้นประเทศไทยของเรา
มีหลายล้านคนที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องการเงินรวมทั้งในชุมชนและท้องถิ่นของเรา ไ ม่ว่าการใช้จ่ายเพื่อสิ่งของอุปโภค
บริโภคและสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น ซึ่งในปัจจุบันเงินหายาก เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
ตามเศรษฐกิจที่ผันผวน รวมไปถึงการทำสวนยางพาราของเกษตรกร ยังขาดทุนหรือไม่มีกำไร
ในการนำไปเป็นเงินออมหรือนำไปซื้อพันธุ์ยาง ปุ๋ยและอุปกรณ์การเกษตรเพิ่มเติมได้
แต่เรานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1เป็นนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ตระหนัก และเล็งเห็นถึงปัญญา
จึงคิดช่วยกันช่วยเหลือชุมชน
โดยการนำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่มีอยู่ไกล้ตัวเรา อย่างลูกยางพารามาผลิตเป็นสิ่งของเพื่อเพิ่มมูลค่า
โดยการนำมาประดิษฐ์เป็นสิ่งของอย่างของจุกจิกในรูปของพวงกุญแจจากลูกยางพาราด้วยวัสดุที่เหลือใช้
หรือวัสดุที่หาได้ง่ายในชุมชนและในร้านค้าใกล้บ้าน
โดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงเป็นแนวทางชี้นำในการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดโดยเริ่มจาก
กลุ่มนักเรียนพัฒนาสู่ครัวเรือน และชุมชนต่อไปโดยใช้วัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น ซึ่งแนวทางนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกครัวเรือนและทุกชุมชนหรือแม้กระทั่งคนตกงานโดยเริ่มจากสิ่งของใกล้มือของเรา
วัตถุประสงค์
1.
เพื่อนำลูกยางพาราที่ไร้ค่ามาประดิษฐ์ให้ดูมีคุณค่ามากขึ้น
2.
เพื่อให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
3.
เพื่อจะทำให้คนในชุมชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แก้ปัญหาสังคมได้
สมมุติฐานของการศึกษา
คนในท้องถิ่นสามารถนำลูกยางพารามาประดิษฐ์เป็นของชำร่วยได้
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.
นำลูกยางพาราที่ไร้ค่ามาประดิษฐ์ให้ดูมีคุณค่ามากขึ้น
2.
คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
3.
ทำให้คนในชุมชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แก้ปัญหาสังคมได้
ระยะเวลาในการทำโครงงาน
ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฏาคม - วันที่ 29
สิงหาคม 2556
บทที่ 2
การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ยางพารา
เป็นไม้ยืนต้น มีถิ่นกำเนิดบริเวณลุ่มน้ำแอมะซอน
ประเทศบราซิลและเปรู ทวีปอเมริกาใต้ โดยชาวพื้นเมืองเรียกว่า "เกาชู" (cao tchu) แปลว่าต้นไม้ร้องไห้ จนถึงปี พ.ศ.
2313 (1770) โจเซฟ พรีสต์ลีย์ พบว่ายางสามารถนำมาลบรอยดำของดินสอได้
จึงเรียกว่ายางลบหรือตัวลบ (rubber) ซึ่งเป็นศัพท์ใช้ในอังกฤษและเนเธอร์แลนด์เท่านั้น
ศูนย์กลางของการเพาะปลูกและซื้อขายยางในอเมริกาใต้แต่ดั้งเดิมอยู่ที่รัฐปารา
(Pará) ของบราซิล
ยางชนิดนี้จึงมีชื่อเรียกว่า ยางพารา
การปลูกยางในประเทศไทย
การปลูกยางในประเทศไทยไม่มีการบันทึกเป็นหลักฐานที่แน่นอน
แต่คาดว่าน่าจะเริ่มมีการปลูกในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2442-2444 ซึ่งพระยารัษฏานุประดิษฐ์
มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง)
เจ้าเมืองตรังในขณะนั้น ได้นำเมล็ดยางพารามาปลูกที่อำเภอกันตัง
จังหวัดตรัง
เป็นครั้งแรก ซึ่งชาวบ้านเรียกต้นยางชุดแรกนี้ว่า "ต้นยางเทศา" และต่อมาได้มีการขยายพันธ์ยางมาปลูกในบริเวณจังหวัดตรังและนราธิวาส
ในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการนำพันธุ์ยางมาปลูกในจังหวัดจันทบุรีซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยหลวงราชไมตรี (ปูม
ปุณศรี) เป็นผู้นำพันธุ์ยางมาปลูก
และนับจากนั้นเป็นต้นมาได้มีการขยายพันธุ์ปลูกยางพาราไปทั่วทั้ง 14 จังหวัดในภาคใต้
และ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังมีการขยายพันธุ์ยางมาปลูกในภาคกลาง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา
ยางพาราก็กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย
และมีการผลิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ยางพาราประเภทยางดิบ ผลิตภัณฑ์ยาง และไม้ยางพารา
สามารถทำรายได้การส่งออกเป็นอันดับสองของประเทศ
ยางพาราจึงถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย
และมีการส่งออกยางธรรมชาติมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ซึ่งในปี
พ.ศ. 2543 มีผลผลิตจากยางธรรมชาติประมาณ 2.4 ล้านตัน มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 124,000 ล้านบาท
เดิมพื้นที่ที่มีการปลูกยางส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคใต้และภาคตะวันออก
แต่ในปัจจุบันมีการขยายการปลูกเพิ่มขึ้นไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และภาคตะวันตก โดยเฉพาะยางพาราจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างในเขตจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดศรีสะเกษ
จัดเป็นยางพาราคุณภาพดีไม่ต่างจากแหล่งผลิตเดิมในเขตภาคใต้และภาคตะวันออก
พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกยางทั่วประเทศมีทั้งหมด 55.1 ล้านไร่
แต่พื้นที่ปลูกจริงมีประมาณ 12.4 ล้านไร่เท่านั้น
การกรีดยาง
การกรีดยางเพื่อให้สะดวกต่อการกรีด
และยังคงรักษาความสะอาดของถ้วยรองรับน้ำยางนั้นควรคำนึงถึงระดับความเอียงของรอยกรีดและความคมของมีดที่ใช้กรีดซึ่งต้องคมอยู่เสมอ
·
เวลากรีดยาง
: ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกรีดยางมากที่สุดคือ ช่วง 6.00-8.00 น.
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นต้นยางได้อย่างชัดเจนและได้ปริมาณน้ำยางใกล้เคียงกับการกรีดยางในตอนเช้ามืด
แต่การกรีดยางในช่วงเวลา 1.00-4.00 น. จะให้ปริมาณยางมากกว่าการกรีดยางในตอนเช้าอยู่ร้อยละ
4-5 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ปริมาณน้ำยางมากที่สุดด้วย
แต่การกรีดยางในตอนเช้ามืดมีข้อเสีย คือ
ง่ายต่อการกรีดบาดเยื่อเจริญส่งผลให้เกิดโรคหน้ายางทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองและไม่มีความปลอดภัยจากสัตว์ร้ายหรือโจรผู้ร้าย
·
การหยุดพักกรีด
: ในฤดูแล้ง ใบไม้ผลัดใบหรือฤดูที่มีการผลิใบใหม่
จะหยุดพักการกรีดยางเนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบและต้นยาง
การกรีดยางในขณะที่ต้นยางเปียก จะทำให้เกิดโรคเส้นดำหรือเปลือกเน่าได้
·
การเพิ่มจำนวนกรีด
: สามารถเพิ่มจำนวนวันกรีดได้โดย
o การเพิ่มวันกรีด : สามารถกรีดในช่วงผลัดใบแต่จะได้น้ำยางในปริมาณน้อย
ไม่ควรเร่งน้ำยางโดยใช้สารเคมีควรกรีดเท่าที่จำเป็นและในช่วงฤดูผลิใบต้องไม่มีการกรีดอีก
o การกรีดยางชดเชย :
วันกรีดที่เสียไปในฤดูฝนสามารถกรีดทดแทนได้แต่ไม่ควรเกินกว่า 2
วันในรอยกรีดแปลงเดิม และสามารถกรีดสายในช่วงเวลา 6.00-8.00 น. หากเกิดฝนตกทั้งคืน
o การกรีดสาย :
เมื่อต้นยางเปียกหรือเกิดฝนตกสามารถกรีดหลังเวลาปกติโดยการกรีดสายซึ่งจะกรีดในช่วงเช้าหรือเย็นแต่ในช่วงอากาศร้อนจัดไม่ควรทำการกรีด
โรคและแมลงศัตรูยางพารา
2. โรคราแป้ง : โรคเกิดจากเชื้อรา โดยมีอาการปลายใบอ่อนบิดงอ
เปลี่ยนเป็นสีดำและร่วง ใบแก่มีปุยสีขาวเทาใต้ใบ
เป็นแผลสีเหลืองก่อนที่จะเป็นเป็นรอยไหม้สีน้ำตาล
เมล็ดยางพารา
ยางพารา
นอกจากจะกรีดเอาน้ำยางมาทำประโยชน์ตามปริมาณและมูลค่าดังกล่าวแล้ว
ยางพารายังมีเมล็ดที่ให้น้ำมันซึ่งสามารถนำไปทำประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมอื่นได้อีก
โดยเฉลี่ยยางที่มีอายุ ๓-๕ ปีขึ้นไป จะให้เมล็ดเฉลี่ยแล้วไร่ละประมาณ ๑๐ กิโลกรัม หรือยางพารา
๗ ล้านไร่ทั่วประเทศ จะได้เมล็ดยางถึง ๗๐,๐๐๐ ตัน
แต่การใช้ประโยชน์จากเมล็ดหรือน้ำมันจากเมล็ดยางยังน้อยมาก
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยยาง
กรมวิชาการเกษตร เมล็ดยางใช้ทำต้นตอปลูกปีละประมาณ ๓๖๐ ตัน
และใช้สกัดทำน้ำมันปีละประมาณ ๑๐๐๐ ตันเท่านั้น นอกจากนั้นจะถูกทิ้งจมดินทับถมกันไปปีต่อปี
โรงงานสกัดน้ำมันในท้องถิ่น
เมล็ดยางพาราจากทางภาคตะวันออกจะแก่และร่วงหล่นก่อนภาคใต้ประมาณ
๒ เดือน ทางภาคตะวันออกจึงมีเมล็ดยางประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
ส่วนภาคใต้เมล็ดยางจะแก่และร่วงหล่นประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม และมีโรงงานที่ใกล้จังหวัดที่ปลูกยางรับซื้อมาสกัดน้ำมัน
โรงงานเหล่านี้กระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ คือ สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี
ระยอง ชลบุรี ราชบุรี นครปฐม น้ำมันที่ได้นำไปใช้ผสมสี
กากจากการสกัดน้ำมันใช้ผสมในอาหารสัตว์
และมีการส่งออกกากเมล็ดยางไปประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยบริษัทไทยคอมมอดิตี้ จำกัด
ข้อด้อยของน้ำมันเมล็ดยางพารา
ปัญหาและวิธีแก้ไข
เมล็ดยางมีน้ำมันร้อยละ ๒๕-๓๐
ถ้าสกัดทั้งเปลือก แต่ถ้าแยกเอาเปลือกออกสกัดเฉพาะเนื้อในจะให้น้ำมันร้อยละ ๔๕-๕๐
การสกัดทั้งเปลือกแม้จะให้น้ำมันน้อยกว่า แต่จะประหวัดแรงงานและการลงทุนมากกว่าสกัดเฉพาะเนื้อใน
ดังนั้นจึงไม่มีโรงงานใดกะเทาะเปลือกก่อนการสกัดน้ำมัน
น้ำมันจากเมล็ดยางพารามีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น
ๆ อยู่หลายประการ เป็นต้นว่าจะมีค่ากรดขึ้นสูงและสีจะเข้มจนดำในเวลาอันสั้น
น้ำมันจะมีการแห้งตัวช้า มีลักาณะเป็นน้ำมันกึ่งแห้งเร็ว
ยิ่งเก็บไว้นานจะยิ่งเสื่อมคุณภาพในการแห้งลงไปและสีก็จะคล้ำลงตามลำดับ
ซึ่งแก้ไขด้วยวิธีอบเมล็ด ๘๐-๑๐๐ องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ ๘ ชั่วโมง
เมล็ดที่ผ่านการอบแล้วจะเก็บไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง
การเก็บเมล็ดที่มีความชื้นต่ำจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้น้ำมันมีคุณภาพดี
เมื่ออบเมล็ดไล่ความชื้นแล้วนำเข้าเครื่องบีบอัดได้ทันทีและถ้านำน้ำมันที่ได้ผ่านกรรมวิธีฟอกสีทันที
ที่อุณหภูมิ ๙๐-๑๑๐ องศาเซลเซียส ใช้ผงฟอกสี ๓-๕ เปอร์เซ็นต์
จะช่วยลดสีของน้ำมันลงได้มากและสามารถจะเก็บน้ำมันได้ข้ามปี
โดยจะมีสีเข้มขึ้นเพียงเล็กน้อย
คุณภาพที่พัฒนาได้
น้ำมันจากเมล็ดยางพาราใช้บริโภคไม่ได้เช่นเดียวกับน้ำมันลินสีด
และยังไม่มีประเทศใดนำน้ำมันเมล็ดยางพารามาใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม
เพราะน้ำมันเมล็ดยางพารามีจุดอ่อนอยู่หลายประการดังได้กล่าวมาแล้ว
จึงได้มีการพัฒนาน้ำมันเมล็ดยางพารา โดยปรับปรุงคุณสมบัติขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับน้ำมันลินสีด
ซึ่งเป็นที่ราบกันดีว่าเป็นน้ำมันที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมเคลือบผิวหน้าประเภทสีและหมึกพิมพ์โดยเฉพาะ
โดยการผสมน้ำมันเมล็ดยางพารากับน้ำมันแห้งเร็วบางชนิด
เช่นน้ำมันมะพอกและน้ำมันมะเยา ซึ่งมีอยู่แล้วภายในประเทศ นับว่าได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีเยี่ยมในการใช้น้ำมันเมล็ดยางพาราเข้าสู่อุตสาหกรรมหมึกพิมพ์ออฟเซ็ทสีดำ
และขณะนี้หมวดหมึกพิมพ์ของโรงพิมพ์ครุสภาลาดพร้าวได้ผลิตเพื่อใช้พิมพ์แบบเรียนทั่วประเทส
และยังได้ผลิตจำหน่ายแก่เอกชนและส่วนราชการแล้ว ในราคาถูกกว่าหมึกพิมพ์ออฟเซ็ทสีดำทั่ว
ๆ ไปมาก
ในอนาคตอันใกล้นี้ผลงานนี้นอกจากจะเป็นการทดแทนการนำเข้าแล้วยังจะสามารถส่งออกได้อีกด้วย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ
มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง
"ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง"
และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22
ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่
เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน
โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ
รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ
หลักปรัชญา
|
...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ
ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน
โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา
เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว
จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป
หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว
โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย
ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น
ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด...
|
|
พระบรมราโชวาท
ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517
|
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง
ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง
มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง
ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง
ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน
เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง
แผนภาพแสดงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง
อธิบายถึงการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ว่า
เป็นการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง
ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวตลอดจนการใช้ความรู้
ความรอบคอบละคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ความพอประมาณ
หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น
การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง
การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง
การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว
ปัจจัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยความรู้ และคุณธรรม
เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้
ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน ส่วนเงื่อนไขคุณธรรม
คือ การยึดถือคุณธรรมต่างๆ อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร
การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ ตลอดเวลาที่ประยุกต์ใช้ปรัชญา
อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น
"ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง"
ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า
"คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน
และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น
โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน
ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน
สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้
เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น
ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต
เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม
การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น
จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น
ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้
ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต ซึ่ง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวว่า
"หลาย ๆ คนกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนจน ซึ่งเป็นการปรับตัวเข้าสู่คุณภาพ"
และ "การลงมือทำด้วยความมีเหตุมีผล เป็นคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง"
การนำไปใช้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้
ถูกใช้เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย
ซึ่งบรรจุอยู่ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ 10 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล
ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข
มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "สังคมสีเขียว"
ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10
นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท
แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยังถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญของไทย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2550 ในส่วนที่ 3
แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (1) ความว่า "บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม
เศรษฐกิจ และความมั่นคง ของประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ"
นายสุรเกียรติ เสถียรไทย ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547
ในการประชุมสุดยอด The Francophonie Ouagadougou ครั้งที่ 10 ที่ Burkina Faso ว่า
ประเทศไทยได้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับ "การพัฒนาแบบยั่งยืน" ในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านการเกษตรกรรม เศรษฐกิจ
และการแข่งขัน ซึ่งเป็นการสอดคล้องเป้าหมายแนวทางของนานาชาติในประชาคมโลก
โดยยกตัวอย่างการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540
ซึ่งเมื่อยึดหลักปรัชญาในการแก้ปัญหาสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ของไทยเติบโตได้ถึงร้อยละ 6.7
นอกประเทศไทย
การประยุกต์นำหลักปรัชญาเพื่อนำพัฒนาประเทศในต่างประเทศนั้น
ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน ผ่านทางสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ โดยมีหน้าที่ คอยประสานงานรับความช่วยเหลือทางวิชาการด้านต่าง
ๆ จากต่างประเทศมาสู่ภาครัฐ แล้วถ่ายทอดต่อไปยังภาคประชาชน
และยังส่งผ่านความรู้ที่มีไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น
สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศได้ถ่ายทอดมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี
และประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งต่างชาติก็สนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์
ซึ่งแต่ละประเทศมีความต้องการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่เหมือนกัน
ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต สภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศ
โดยได้ให้ผู้แทนจากประเทศเหล่านี้ได้มาดูงานในหลายระดับ ทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน
เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบาย จนถึงระดับปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่าง ๆ
นอกจากนั้นอดิเทพ ภาณุพงศ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนนา
ประเทศออสเตรีย ได้กล่าวว่า ต่างชาติสนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เนื่องจากมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์
และทราบสาเหตุที่รัฐบาลไทยนำมาเป็นนโยบาย ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องการศึกษาเพื่อนำไปช่วยเหลือประเทศอื่น
ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล
ได้กล่าวถึงผลสำเร็จอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจพอเพียงโดยองค์การสหประชาชาติ คือ
"สหประชาชาติเห็นด้วยกับพระมหากษัตริย์ในเรื่องนี้ [เศรษฐกิจพอเพียง]
โดยเริ่มใช้มาตรวัดคุณภาพชีวิตในการวัดความเจริญของแต่ละประเทศ
แทนอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
ซึ่งกล่าวถึงแต่ความเจริญทางเศรษฐกิจเท่านั้น"
ความเข้าใจของประชาชนชาวไทย
ปัญหาหนึ่งของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ก็คือ
ผู้นำไปใช้อาจยังไม่ได้ศึกษาหรือไม่มีความรู้เพียงพอ
ทั้งยังไม่กล้าวิเคราะห์หรือตั้งคำถามต่อตัวปรัชญา
เนื่องจากเป็นปรัชญาของพระมหากษัตริย์
บทที่ 3
วิธีการดำเนินการศึกษา
แผนปฏิบัติกิจกรรมโครงงาน
ที่
|
กิจกรรม
|
ระยะเวลา
|
สถานที่ทำกิจกรรม
|
ผู้รับผิดชอบ
|
1
|
-เลือกหัวข้อในการทำโครงงานและพร้อมทั้งเหตุผลในการทำโครงงาน
|
29 ก.ค.56
|
ห้องเรียน ห้อง 112
|
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา
|
2
|
-ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารจากหนังสือเรียน
และในเว็บไซด์ต่างๆ
|
1พ.ย.56 - 21พ.ย.56
|
ห้องเรียน ห้อง 112
ศูนย์ ICTชุมชน
|
สมาชิกในกลุ่ม
|
3
|
- เสนอเค้าโครงงาน
|
22 พ.ย.56
|
ห้องวิชาการ
|
สมาชิกในกลุ่มครูที่ปรึกษา
|
4
|
-ส่วนค่าใช้จ่ายเก็บคนละ 50 บาท ทำรายงานเพื่อขอเบิกอุปกรณ์
|
23พ.ย.56-27พ.ย.56
|
136 ม.1ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่
|
สมาชิกในกลุ่ม
|
5
|
-จัดหาวัสดุอุปกรณ์และแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ
-ติดต่อวิทยากรท้องถิ่น
|
28พ.ย.56 - 6ส.ค. 56
|
ใต้ถุนอาคารเรียน 1
ห้องสมุด
|
สมาชิกในกลุ่ม
|
6
|
-ลงมือปฏิบัติทำพวงกุญแจ
|
7ส.ค.56
|
ใต้ถุนอาคารเรียน 1
|
สมาชิกในกลุ่ม
นางอรจิต
ประสงค์ศิลป์
|
7
|
-สรุปผลการปฏิบัติกิจกรรม
|
10ส.ค.56 - 20ส.ค.56
|
ห้องสมุด
|
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา
|
8
|
จัดพิมพ์รูปเล่มรายงาน
โครงงาน
|
21ส.ค.56-27ส.ค.56
|
ศูนย์ ICTชุมชน
|
สมาชิกในกลุ่ม
|
-นำเสนอการทำพวงกุญแจและรายงานผลการปฏิบัติงาน
|
29ส.ค.56
|
ห้องเรียน ห้อง 112
|
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา
|
อุปกรณ์
1.ลูกยางพารา 2.พวงกุญแจ 3.(กาวแท่ง)ปืนกาว 4.ลวดขนหยี 5.ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป 6.ตะปู 7.กรรไกร 8.คัตเตอร์
วิธีการศึกษา
1.ศึกษาจากวิทยากรท้องถิ่น
โดยสอบถามคุณและฝึกปฏิบัติทำพวงกุญแจจากลูกยางพารา
2.ศึกษาจากเอกสารอ้างอิง
และคำบอกเล่าของผู้รู้
3.ประเด็นการศึกษา
---ศึกษาการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้
-ศึกษาวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย
ผลการศึกษา
-ได้ทราบถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้
-ได้ทราบถึงวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย
|
บทที่ 4
ผลการดำเนินงานการศึกษาและอภิปรายผลการศึกษา
1.ได้ทราบถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้
2.ได้ทราบถึงวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย
|
บทที่5
สรุปผลการศึกษา
สรุปผลการศึกษา
ประโยชน์ที่ได้รับ
1.ได้เพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย
ข้อเสนอแนะ
การเพิ่มมูลค่าให้ลูกยางพาราหรือวัสดุในท้องถิ่นสามารถทำได้หลายวิธี
เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา(ต้นทุน)
อุปกรณ์
|
แบบที่1 (จำนวน5ชิ้น)
|
แบบที่2 (จำนวน5ชิ้น)
|
1.ลูกยางพารา
|
5 เมล็ด
|
15 เมล็ด
|
2.พวงกุญแจ
|
5 พวง
|
5 พวง
|
3.(กาวแท่ง)ปืนกาว
|
1 แท่ง
|
2 แท่ง
|
4.ลวดขนหยี คละสีได้ตามความชอบ
|
2 เส้น
|
3 เส้น
|
5.ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป
|
5 คู่
|
5 คู่
|
6.ตะปู
|
1 ตัว
|
7.กรรไกร
|
1 อัน
|
8.คัตเตอร์
|
1 อัน
|
9.ลูกปัด
|
10 ลูก
|
25 ลูก
|
ต้นทุน (ต่อ1พวง)
|
45 บาท
|
52 บาท
|
ราคาจำหน่าย (ต่อ1พวง)
|
10 บาท
|
15 บาท
|
รายรับ
|
รายจ่าย
|
|
|
ว/ด/ป
|
รายการ
|
จำนวนเงิน
|
ว/ด/ป
|
ลำดับ
|
รายการ
|
จำนวน
|
ราคา/หน่วย
|
จำนวนเงิน
|
หมายเหตุ
|
|
|
|
เก็บเงินสมาชิกในกลุ่มคนละ
25 บาท (มี6คน)
|
150บ.
|
|
1
|
พวงกุญแจ
กาวแท่ง)ปืนกาว
ลวดขนหยี
ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป
ลูกปัด
รวมรายจ่าย
เหลือ
|
12
พวง
3
แท่ง
23
เส้น
7
คู่
4
ถุง
|
20
บ.
9
บ.
46
บ.
28
บ.
32
บ.
130บ.
20บ.
|
|
|
|
|
|
20
บ.
|
|
บรรณานุกรม
http://www.thaikasetsart.com/เมล็ดยางพารา
ภาคผนวก