วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

สารบัญ หน้าปกโครงงาน

โครงงานสังคมศึกษา

                                                                          เรื่อง
      ตามรอยเศรษฐกิจพอเพียงด้วยเมล็ดยางพารา


                   คณะผู้จัดทำ
                  ๑.นางสาวเสาวภา  วรชาติไพศาล   เลขที่ ๒๗
                            ๒.นายทักษ์ดนัย   น้ำใส       เลขที่ ๒
                            ๓.นางสาวพัณณิตา    ศรีสุข   เลขที่ ๒๑
                            ๔. นายณรงศักดิ์    คำคุ้ม      เลขที่ ๑
                            ๕.นายอัศธรณ์     ลูกอ้น     เลขที่ ๑๐
                            ๖.นายภัทรชนน    พยายาม    เลขที่ ๓๐
                                         ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓/๑

        ที่ปรึกษา   
                                                         คุณครูชุลีรัตน์  ภาโอภาส

    โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาสังคมศึกษา  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓
โรงเรียนคลองพนสฤษดิ์พิทยา อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต  ๑๓


สารบัญ
เรื่อง                                                                                                                            หน้า
บทคัดย่อ                                                                                                                                                                              
กิตติกรรมประกาศ                                                                                                                                                              ข            
คำนำ                                                                                                                                                                                     
บทที่ ๑  บทนำ                                                                                                                                                                      1
ที่มาและความสำคัญของโครงงาน                                                                                                                                  1
วัตถุประสงค์                                                                                                                                                                        1
สมมุติฐานของการศึกษา                                                                                                                                                   1
ผลที่คาดว่าจะได้รับ                                                                                                                                                             1
ระยะเวลาในการทำโครงงาน                                                                                                                                           2
บทที่ 2 การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง                                                                                                                               3
การปลูกยางในประเทศไทย                                                                                                                                              3
การกรีดยาง                                                                                                                                                                           3-4
โรคและแมลงศัตรูยางพารา                                                                                                                                              4
เมล็ดยางพารา                                                                                                                                                                     5
โรงงานสกัดน้ำมันในท้องถิ่น                                                                                                                                          5
ข้อด้อยของน้ำมันเมล็ดยางพารา ปัญหาและวิธีแก้ไข                                                                                               5-6         
คุณภาพที่พัฒนาได้                                                                                                                                                             6
เศรษฐกิจพอเพียง                                                                                                                                                                6-7
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง                                                                                                                                         7-9
 การนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้                                                                                                 9-10
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนอกประเทศไทย                                                                                                          10
ความเข้าใจของประชาชนชาวไทย                                                                                                                                 10
บทที่3 วิธีการดำเนินการศึกษา                                                                                                                                        11
แผนปฏิบัติกิจกรรมโครงงาน                                                                                                                                           11
อุปกรณ์                                                                                                                                                                                  12
วิธีการศึกษา                                                                                                                                                                          12
ผลการศึกษา                                                                                                                                                                         12
บทที่ 4  ผลการดำเนินงานการศึกษาและอภิปรายผลการศึกษา                                                                               13
ผลการดำเนินงานการศึกษา                                                                                                                                              13
บทที่5สรุปผลการศึกษา                                                                                                                                                     14
สรุปผลการศึกษา                                                                                                                                                                 14
ประโยชน์ที่ได้รับ                                                                                                                                                                14
ข้อเสนอแนะ                                                                                                                                                                        14
บรรณานุกรม                                                                                                                                                                       15
ภาคผนวก                                                                                                                                                                            16





การทำโครงงานเมล็ดยางพารา

บทที่ ๑
     บทนำ

ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
            ในปัจจุบันนั้นประเทศไทยของเรา มีหลายล้านคนที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องการเงินรวมทั้งในชุมชนและท้องถิ่นของเรา  ไ ม่ว่าการใช้จ่ายเพื่อสิ่งของอุปโภค บริโภคและสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น ซึ่งในปัจจุบันเงินหายาก  เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามเศรษฐกิจที่ผันผวน รวมไปถึงการทำสวนยางพาราของเกษตรกร ยังขาดทุนหรือไม่มีกำไร ในการนำไปเป็นเงินออมหรือนำไปซื้อพันธุ์ยาง ปุ๋ยและอุปกรณ์การเกษตรเพิ่มเติมได้ แต่เรานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1เป็นนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ตระหนัก  และเล็งเห็นถึงปัญญา จึงคิดช่วยกันช่วยเหลือชุมชน  โดยการนำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่มีอยู่ไกล้ตัวเรา  อย่างลูกยางพารามาผลิตเป็นสิ่งของเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยการนำมาประดิษฐ์เป็นสิ่งของอย่างของจุกจิกในรูปของพวงกุญแจจากลูกยางพาราด้วยวัสดุที่เหลือใช้ หรือวัสดุที่หาได้ง่ายในชุมชนและในร้านค้าใกล้บ้าน  โดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงเป็นแนวทางชี้นำในการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดโดยเริ่มจาก กลุ่มนักเรียนพัฒนาสู่ครัวเรือน และชุมชนต่อไปโดยใช้วัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น   ซึ่งแนวทางนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกครัวเรือนและทุกชุมชนหรือแม้กระทั่งคนตกงานโดยเริ่มจากสิ่งของใกล้มือของเรา

วัตถุประสงค์
                1.  เพื่อนำลูกยางพาราที่ไร้ค่ามาประดิษฐ์ให้ดูมีคุณค่ามากขึ้น
             2.  เพื่อให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
                3.  เพื่อจะทำให้คนในชุมชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แก้ปัญหาสังคมได้

สมมุติฐานของการศึกษา
                คนในท้องถิ่นสามารถนำลูกยางพารามาประดิษฐ์เป็นของชำร่วยได้

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
                1.  นำลูกยางพาราที่ไร้ค่ามาประดิษฐ์ให้ดูมีคุณค่ามากขึ้น
              2.  คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
                3.  ทำให้คนในชุมชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แก้ปัญหาสังคมได้

               
ระยะเวลาในการทำโครงงาน
                ตั้งแต่วันที่  20  กรกฏาคม - วันที่  29  สิงหาคม  2556

























บทที่ 2
การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ยางพารา เป็นไม้ยืนต้น  มีถิ่นกำเนิดบริเวณลุ่มน้ำแอมะซอน ประเทศบราซิลและเปรู ทวีปอเมริกาใต้ โดยชาวพื้นเมืองเรียกว่า "เกาชู" (cao tchu) แปลว่าต้นไม้ร้องไห้ จนถึงปี พ.ศ. 2313 (1770) โจเซฟ พรีสต์ลีย์ พบว่ายางสามารถนำมาลบรอยดำของดินสอได้ จึงเรียกว่ายางลบหรือตัวลบ (rubber) ซึ่งเป็นศัพท์ใช้ในอังกฤษและเนเธอร์แลนด์เท่านั้น ศูนย์กลางของการเพาะปลูกและซื้อขายยางในอเมริกาใต้แต่ดั้งเดิมอยู่ที่รัฐปารา (Pará) ของบราซิล ยางชนิดนี้จึงมีชื่อเรียกว่า ยางพารา
การปลูกยางในประเทศไทย
การปลูกยางในประเทศไทยไม่มีการบันทึกเป็นหลักฐานที่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะเริ่มมีการปลูกในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2442-2444 ซึ่งพระยารัษฏานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรังในขณะนั้น ได้นำเมล็ดยางพารามาปลูกที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นครั้งแรก ซึ่งชาวบ้านเรียกต้นยางชุดแรกนี้ว่า "ต้นยางเทศา"  และต่อมาได้มีการขยายพันธ์ยางมาปลูกในบริเวณจังหวัดตรังและนราธิวาส ในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการนำพันธุ์ยางมาปลูกในจังหวัดจันทบุรีซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยหลวงราชไมตรี (ปูม ปุณศรี) เป็นผู้นำพันธุ์ยางมาปลูก และนับจากนั้นเป็นต้นมาได้มีการขยายพันธุ์ปลูกยางพาราไปทั่วทั้ง 14 จังหวัดในภาคใต้ และ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังมีการขยายพันธุ์ยางมาปลูกในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา ยางพาราก็กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย และมีการผลิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ยางพาราประเภทยางดิบ ผลิตภัณฑ์ยาง และไม้ยางพารา สามารถทำรายได้การส่งออกเป็นอันดับสองของประเทศ ยางพาราจึงถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย และมีการส่งออกยางธรรมชาติมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ซึ่งในปี พ.ศ. 2543 มีผลผลิตจากยางธรรมชาติประมาณ 2.4 ล้านตัน มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 124,000 ล้านบาท เดิมพื้นที่ที่มีการปลูกยางส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคใต้และภาคตะวันออก แต่ในปัจจุบันมีการขยายการปลูกเพิ่มขึ้นไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก โดยเฉพาะยางพาราจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างในเขตจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดศรีสะเกษ จัดเป็นยางพาราคุณภาพดีไม่ต่างจากแหล่งผลิตเดิมในเขตภาคใต้และภาคตะวันออก พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกยางทั่วประเทศมีทั้งหมด 55.1 ล้านไร่ แต่พื้นที่ปลูกจริงมีประมาณ 12.4 ล้านไร่เท่านั้น
การกรีดยาง
การกรีดยางเพื่อให้สะดวกต่อการกรีด และยังคงรักษาความสะอาดของถ้วยรองรับน้ำยางนั้นควรคำนึงถึงระดับความเอียงของรอยกรีดและความคมของมีดที่ใช้กรีดซึ่งต้องคมอยู่เสมอ
·         เวลากรีดยาง : ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกรีดยางมากที่สุดคือ ช่วง 6.00-8.00 น. เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นต้นยางได้อย่างชัดเจนและได้ปริมาณน้ำยางใกล้เคียงกับการกรีดยางในตอนเช้ามืด แต่การกรีดยางในช่วงเวลา 1.00-4.00 น. จะให้ปริมาณยางมากกว่าการกรีดยางในตอนเช้าอยู่ร้อยละ 4-5 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ปริมาณน้ำยางมากที่สุดด้วย แต่การกรีดยางในตอนเช้ามืดมีข้อเสีย คือ ง่ายต่อการกรีดบาดเยื่อเจริญส่งผลให้เกิดโรคหน้ายางทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองและไม่มีความปลอดภัยจากสัตว์ร้ายหรือโจรผู้ร้าย
·         การหยุดพักกรีด : ในฤดูแล้ง ใบไม้ผลัดใบหรือฤดูที่มีการผลิใบใหม่ จะหยุดพักการกรีดยางเนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบและต้นยาง การกรีดยางในขณะที่ต้นยางเปียก จะทำให้เกิดโรคเส้นดำหรือเปลือกเน่าได้
·         การเพิ่มจำนวนกรีด : สามารถเพิ่มจำนวนวันกรีดได้โดย
o    การเพิ่มวันกรีด : สามารถกรีดในช่วงผลัดใบแต่จะได้น้ำยางในปริมาณน้อย ไม่ควรเร่งน้ำยางโดยใช้สารเคมีควรกรีดเท่าที่จำเป็นและในช่วงฤดูผลิใบต้องไม่มีการกรีดอีก
o    การกรีดยางชดเชย : วันกรีดที่เสียไปในฤดูฝนสามารถกรีดทดแทนได้แต่ไม่ควรเกินกว่า 2 วันในรอยกรีดแปลงเดิม และสามารถกรีดสายในช่วงเวลา 6.00-8.00 น. หากเกิดฝนตกทั้งคืน
o    การกรีดสาย : เมื่อต้นยางเปียกหรือเกิดฝนตกสามารถกรีดหลังเวลาปกติโดยการกรีดสายซึ่งจะกรีดในช่วงเช้าหรือเย็นแต่ในช่วงอากาศร้อนจัดไม่ควรทำการกรีด
โรคและแมลงศัตรูยางพารา
1. โรคใบร่วงและฝักเน่า : โรคเกิดจากเชื้อรา โดยมีอาการใบยางร่วงในขณะที่ใบยังสด
2. โรคราแป้ง : โรคเกิดจากเชื้อรา โดยมีอาการปลายใบอ่อนบิดงอ เปลี่ยนเป็นสีดำและร่วง ใบแก่มีปุยสีขาวเทาใต้ใบ เป็นแผลสีเหลืองก่อนที่จะเป็นเป็นรอยไหม้สีน้ำตาล

เมล็ดยางพารา 
 ยางพารา นอกจากจะกรีดเอาน้ำยางมาทำประโยชน์ตามปริมาณและมูลค่าดังกล่าวแล้ว ยางพารายังมีเมล็ดที่ให้น้ำมันซึ่งสามารถนำไปทำประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมอื่นได้อีก โดยเฉลี่ยยางที่มีอายุ ๓-๕ ปีขึ้นไป จะให้เมล็ดเฉลี่ยแล้วไร่ละประมาณ ๑๐ กิโลกรัม หรือยางพารา ๗ ล้านไร่ทั่วประเทศ จะได้เมล็ดยางถึง ๗๐,๐๐๐ ตัน แต่การใช้ประโยชน์จากเมล็ดหรือน้ำมันจากเมล็ดยางยังน้อยมาก
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เมล็ดยางใช้ทำต้นตอปลูกปีละประมาณ ๓๖๐ ตัน และใช้สกัดทำน้ำมันปีละประมาณ ๑๐๐๐ ตันเท่านั้น นอกจากนั้นจะถูกทิ้งจมดินทับถมกันไปปีต่อปี
โรงงานสกัดน้ำมันในท้องถิ่น         
เมล็ดยางพาราจากทางภาคตะวันออกจะแก่และร่วงหล่นก่อนภาคใต้ประมาณ ๒ เดือน ทางภาคตะวันออกจึงมีเมล็ดยางประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ส่วนภาคใต้เมล็ดยางจะแก่และร่วงหล่นประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม และมีโรงงานที่ใกล้จังหวัดที่ปลูกยางรับซื้อมาสกัดน้ำมัน โรงงานเหล่านี้กระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ คือ สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี ระยอง ชลบุรี ราชบุรี นครปฐม น้ำมันที่ได้นำไปใช้ผสมสี กากจากการสกัดน้ำมันใช้ผสมในอาหารสัตว์ และมีการส่งออกกากเมล็ดยางไปประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยบริษัทไทยคอมมอดิตี้ จำกัด
ข้อด้อยของน้ำมันเมล็ดยางพารา ปัญหาและวิธีแก้ไข
เมล็ดยางมีน้ำมันร้อยละ ๒๕-๓๐ ถ้าสกัดทั้งเปลือก แต่ถ้าแยกเอาเปลือกออกสกัดเฉพาะเนื้อในจะให้น้ำมันร้อยละ ๔๕-๕๐ การสกัดทั้งเปลือกแม้จะให้น้ำมันน้อยกว่า แต่จะประหวัดแรงงานและการลงทุนมากกว่าสกัดเฉพาะเนื้อใน ดังนั้นจึงไม่มีโรงงานใดกะเทาะเปลือกก่อนการสกัดน้ำมัน
น้ำมันจากเมล็ดยางพารามีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ อยู่หลายประการ เป็นต้นว่าจะมีค่ากรดขึ้นสูงและสีจะเข้มจนดำในเวลาอันสั้น น้ำมันจะมีการแห้งตัวช้า มีลักาณะเป็นน้ำมันกึ่งแห้งเร็ว ยิ่งเก็บไว้นานจะยิ่งเสื่อมคุณภาพในการแห้งลงไปและสีก็จะคล้ำลงตามลำดับ ซึ่งแก้ไขด้วยวิธีอบเมล็ด ๘๐-๑๐๐ องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ ๘ ชั่วโมง เมล็ดที่ผ่านการอบแล้วจะเก็บไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง การเก็บเมล็ดที่มีความชื้นต่ำจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้น้ำมันมีคุณภาพดี
เมื่ออบเมล็ดไล่ความชื้นแล้วนำเข้าเครื่องบีบอัดได้ทันทีและถ้านำน้ำมันที่ได้ผ่านกรรมวิธีฟอกสีทันที ที่อุณหภูมิ ๙๐-๑๑๐ องศาเซลเซียส ใช้ผงฟอกสี ๓-๕ เปอร์เซ็นต์ จะช่วยลดสีของน้ำมันลงได้มากและสามารถจะเก็บน้ำมันได้ข้ามปี โดยจะมีสีเข้มขึ้นเพียงเล็กน้อย
คุณภาพที่พัฒนาได้
น้ำมันจากเมล็ดยางพาราใช้บริโภคไม่ได้เช่นเดียวกับน้ำมันลินสีด และยังไม่มีประเทศใดนำน้ำมันเมล็ดยางพารามาใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม เพราะน้ำมันเมล็ดยางพารามีจุดอ่อนอยู่หลายประการดังได้กล่าวมาแล้ว จึงได้มีการพัฒนาน้ำมันเมล็ดยางพารา โดยปรับปรุงคุณสมบัติขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับน้ำมันลินสีด ซึ่งเป็นที่ราบกันดีว่าเป็นน้ำมันที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมเคลือบผิวหน้าประเภทสีและหมึกพิมพ์โดยเฉพาะ โดยการผสมน้ำมันเมล็ดยางพารากับน้ำมันแห้งเร็วบางชนิด เช่นน้ำมันมะพอกและน้ำมันมะเยา ซึ่งมีอยู่แล้วภายในประเทศ นับว่าได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีเยี่ยมในการใช้น้ำมันเมล็ดยางพาราเข้าสู่อุตสาหกรรมหมึกพิมพ์ออฟเซ็ทสีดำ และขณะนี้หมวดหมึกพิมพ์ของโรงพิมพ์ครุสภาลาดพร้าวได้ผลิตเพื่อใช้พิมพ์แบบเรียนทั่วประเทส และยังได้ผลิตจำหน่ายแก่เอกชนและส่วนราชการแล้ว ในราคาถูกกว่าหมึกพิมพ์ออฟเซ็ทสีดำทั่ว ๆ ไปมาก ในอนาคตอันใกล้นี้ผลงานนี้นอกจากจะเป็นการทดแทนการนำเข้าแล้วยังจะสามารถส่งออกได้อีกด้วย

 เศรษฐกิจพอเพียง  เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา  และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ โดยปัญญาชนในสังคมไทยหลายท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น ศ.นพ.ประเวศ วะสี, ศ.เสน่ห์ จามริก, ศ.อภิชัย พันธเสน, และศ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเคยถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งนับตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 และได้ช่วยให้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9   และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ

หลักปรัชญา
...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด...
 พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง

แผนภาพแสดงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้" และ "คุณธรรม"
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง อธิบายถึงการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ว่า เป็นการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบละคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ปัจจัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยความรู้ และคุณธรรม เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน ส่วนเงื่อนไขคุณธรรม คือ การยึดถือคุณธรรมต่างๆ อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ ตลอดเวลาที่ประยุกต์ใช้ปรัชญา
อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต ซึ่ง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวว่า "หลาย ๆ คนกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนจน ซึ่งเป็นการปรับตัวเข้าสู่คุณภาพ" และ "การลงมือทำด้วยความมีเหตุมีผล เป็นคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง"
การนำไปใช้
           ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ถูกใช้เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งบรรจุอยู่ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "สังคมสีเขียว" ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท
แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยังถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญของไทย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (1) ความว่า "บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคง ของประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ"
  นายสุรเกียรติ เสถียรไทย ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ในการประชุมสุดยอด The Francophonie Ouagadougou ครั้งที่ 10 ที่ Burkina Faso ว่า ประเทศไทยได้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับ "การพัฒนาแบบยั่งยืน" ในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านการเกษตรกรรม เศรษฐกิจ และการแข่งขัน ซึ่งเป็นการสอดคล้องเป้าหมายแนวทางของนานาชาติในประชาคมโลก โดยยกตัวอย่างการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ซึ่งเมื่อยึดหลักปรัชญาในการแก้ปัญหาสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ของไทยเติบโตได้ถึงร้อยละ 6.7
นอกประเทศไทย
การประยุกต์นำหลักปรัชญาเพื่อนำพัฒนาประเทศในต่างประเทศนั้น ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน ผ่านทางสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ โดยมีหน้าที่ คอยประสานงานรับความช่วยเหลือทางวิชาการด้านต่าง ๆ จากต่างประเทศมาสู่ภาครัฐ แล้วถ่ายทอดต่อไปยังภาคประชาชน และยังส่งผ่านความรู้ที่มีไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศได้ถ่ายทอดมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งต่างชาติก็สนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ซึ่งแต่ละประเทศมีความต้องการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต สภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศ โดยได้ให้ผู้แทนจากประเทศเหล่านี้ได้มาดูงานในหลายระดับ ทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบาย จนถึงระดับปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่าง ๆ
นอกจากนั้นอดิเทพ ภาณุพงศ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้กล่าวว่า ต่างชาติสนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง  เนื่องจากมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์ และทราบสาเหตุที่รัฐบาลไทยนำมาเป็นนโยบาย ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องการศึกษาเพื่อนำไปช่วยเหลือประเทศอื่น
ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวถึงผลสำเร็จอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจพอเพียงโดยองค์การสหประชาชาติ คือ "สหประชาชาติเห็นด้วยกับพระมหากษัตริย์ในเรื่องนี้ [เศรษฐกิจพอเพียง] โดยเริ่มใช้มาตรวัดคุณภาพชีวิตในการวัดความเจริญของแต่ละประเทศ แทนอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งกล่าวถึงแต่ความเจริญทางเศรษฐกิจเท่านั้น"
ความเข้าใจของประชาชนชาวไทย  
                ปัญหาหนึ่งของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ก็คือ ผู้นำไปใช้อาจยังไม่ได้ศึกษาหรือไม่มีความรู้เพียงพอ ทั้งยังไม่กล้าวิเคราะห์หรือตั้งคำถามต่อตัวปรัชญา เนื่องจากเป็นปรัชญาของพระมหากษัตริย์



บทที่ 3
วิธีการดำเนินการศึกษา

    แผนปฏิบัติกิจกรรมโครงงาน

ที่
           กิจกรรม
ระยะเวลา
สถานที่ทำกิจกรรม
ผู้รับผิดชอบ
1
-เลือกหัวข้อในการทำโครงงานและพร้อมทั้งเหตุผลในการทำโครงงาน
29 ก.ค.56
ห้องเรียน ห้อง 112
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา
2
-ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารจากหนังสือเรียน และในเว็บไซด์ต่างๆ
1พ.ย.56 - 21พ.ย.56
ห้องเรียน ห้อง 112
ศูนย์ ICTชุมชน
สมาชิกในกลุ่ม
3
- เสนอเค้าโครงงาน
22 พ.ย.56
ห้องวิชาการ
สมาชิกในกลุ่มครูที่ปรึกษา
4
-ส่วนค่าใช้จ่ายเก็บคนละ 50 บาท ทำรายงานเพื่อขอเบิกอุปกรณ์
23พ.ย.56-27พ.ย.56
136 ม.1ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่
สมาชิกในกลุ่ม
5
-จัดหาวัสดุอุปกรณ์และแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ
-ติดต่อวิทยากรท้องถิ่น
  28พ.ย.56 - 6ส.ค.                 56
ใต้ถุนอาคารเรียน 1
ห้องสมุด
สมาชิกในกลุ่ม
6
-ลงมือปฏิบัติทำพวงกุญแจ
7ส.ค.56
ใต้ถุนอาคารเรียน 1
สมาชิกในกลุ่ม
นางอรจิต  ประสงค์ศิลป์
7
-สรุปผลการปฏิบัติกิจกรรม
10ส.ค.56 - 20ส.ค.56
ห้องสมุด
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา
8
จัดพิมพ์รูปเล่มรายงาน
โครงงาน
21ส.ค.56-27ส.ค.56
ศูนย์ ICTชุมชน
สมาชิกในกลุ่ม
-นำเสนอการทำพวงกุญแจและรายงานผลการปฏิบัติงาน
29ส.ค.56
ห้องเรียน ห้อง 112
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา

อุปกรณ์                                                                                                                                                               1.ลูกยางพารา      2.พวงกุญแจ      3.(กาวแท่ง)ปืนกาว       4.ลวดขนหยี         5.ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป       6.ตะปู    7.กรรไกร        8.คัตเตอร์

วิธีการศึกษา
1.ศึกษาจากวิทยากรท้องถิ่น  โดยสอบถามคุณและฝึกปฏิบัติทำพวงกุญแจจากลูกยางพารา                           
2.ศึกษาจากเอกสารอ้างอิง  และคำบอกเล่าของผู้รู้                                                                                                  
3.ประเด็นการศึกษา                                                                                                                                                                        ---ศึกษาการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้  
-ศึกษาวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย

ผลการศึกษา
 -ได้ทราบถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้  
 -ได้ทราบถึงวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย


                                                                                                                                                                                                                                             
บทที่ 4
ผลการดำเนินงานการศึกษาและอภิปรายผลการศึกษา

1.ได้ทราบถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้  
2.ได้ทราบถึงวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย















บทที่5
สรุปผลการศึกษา

สรุปผลการศึกษา

ประโยชน์ที่ได้รับ
1.ได้เพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย

ข้อเสนอแนะ
การเพิ่มมูลค่าให้ลูกยางพาราหรือวัสดุในท้องถิ่นสามารถทำได้หลายวิธี

















เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา(ต้นทุน)

อุปกรณ์
แบบที่1 (จำนวน5ชิ้น)
แบบที่2 (จำนวน5ชิ้น)
1.ลูกยางพารา
5 เมล็ด
15 เมล็ด
2.พวงกุญแจ
5 พวง
5 พวง
3.(กาวแท่ง)ปืนกาว
1 แท่ง
2 แท่ง
4.ลวดขนหยี คละสีได้ตามความชอบ
2 เส้น
3 เส้น
5.ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป
5 คู่
5 คู่
6.ตะปู
1 ตัว
7.กรรไกร
1 อัน
8.คัตเตอร์
1 อัน
9.ลูกปัด
10 ลูก
25 ลูก
ต้นทุน (ต่อ1พวง)
45 บาท
52 บาท
ราคาจำหน่าย (ต่อ1พวง)
10 บาท
15 บาท

รายรับ
รายจ่าย

ว/ด/ป

รายการ
จำนวนเงิน
ว/ด/ป
ลำดับ

รายการ
จำนวน
ราคา/หน่วย
จำนวนเงิน
หมายเหตุ


เก็บเงินสมาชิกในกลุ่มคนละ 25 บาท (มี6คน)
150บ.

1
พวงกุญแจ
กาวแท่ง)ปืนกาว
ลวดขนหยี
ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป
ลูกปัด
รวมรายจ่าย
เหลือ
12 พวง
3 แท่ง
23 เส้น
7 คู่
4 ถุง
20 บ.
9 บ.
46 บ.
28 บ.
32 บ.
130บ.
20บ.




20 บ.


บรรณานุกรม
http://www.thaikasetsart.com/เมล็ดยางพารา
http://th.wikipedia.org/เศรษฐกิจพอเพียง






















ภาคผนวก