วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

การทำโครงงานเมล็ดยางพารา

บทที่ ๑
     บทนำ

ที่มาและความสำคัญของโครงงาน
            ในปัจจุบันนั้นประเทศไทยของเรา มีหลายล้านคนที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องการเงินรวมทั้งในชุมชนและท้องถิ่นของเรา  ไ ม่ว่าการใช้จ่ายเพื่อสิ่งของอุปโภค บริโภคและสิ่งของฟุ่มเฟือยต่างๆ ทั้งจำเป็นและไม่จำเป็น ซึ่งในปัจจุบันเงินหายาก  เนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ตามเศรษฐกิจที่ผันผวน รวมไปถึงการทำสวนยางพาราของเกษตรกร ยังขาดทุนหรือไม่มีกำไร ในการนำไปเป็นเงินออมหรือนำไปซื้อพันธุ์ยาง ปุ๋ยและอุปกรณ์การเกษตรเพิ่มเติมได้ แต่เรานักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1เป็นนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่ตระหนัก  และเล็งเห็นถึงปัญญา จึงคิดช่วยกันช่วยเหลือชุมชน  โดยการนำสิ่งที่ไร้ประโยชน์ที่มีอยู่ไกล้ตัวเรา  อย่างลูกยางพารามาผลิตเป็นสิ่งของเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยการนำมาประดิษฐ์เป็นสิ่งของอย่างของจุกจิกในรูปของพวงกุญแจจากลูกยางพาราด้วยวัสดุที่เหลือใช้ หรือวัสดุที่หาได้ง่ายในชุมชนและในร้านค้าใกล้บ้าน  โดยใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงเป็นแนวทางชี้นำในการผลิตสินค้าออกสู่ตลาดโดยเริ่มจาก กลุ่มนักเรียนพัฒนาสู่ครัวเรือน และชุมชนต่อไปโดยใช้วัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น   ซึ่งแนวทางนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับทุกครัวเรือนและทุกชุมชนหรือแม้กระทั่งคนตกงานโดยเริ่มจากสิ่งของใกล้มือของเรา

วัตถุประสงค์
                1.  เพื่อนำลูกยางพาราที่ไร้ค่ามาประดิษฐ์ให้ดูมีคุณค่ามากขึ้น
             2.  เพื่อให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
                3.  เพื่อจะทำให้คนในชุมชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แก้ปัญหาสังคมได้

สมมุติฐานของการศึกษา
                คนในท้องถิ่นสามารถนำลูกยางพารามาประดิษฐ์เป็นของชำร่วยได้

ผลที่คาดว่าจะได้รับ
                1.  นำลูกยางพาราที่ไร้ค่ามาประดิษฐ์ให้ดูมีคุณค่ามากขึ้น
              2.  คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นแก้ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ
                3.  ทำให้คนในชุมชนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์แก้ปัญหาสังคมได้

               
ระยะเวลาในการทำโครงงาน
                ตั้งแต่วันที่  20  กรกฏาคม - วันที่  29  สิงหาคม  2556

























บทที่ 2
การศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ยางพารา เป็นไม้ยืนต้น  มีถิ่นกำเนิดบริเวณลุ่มน้ำแอมะซอน ประเทศบราซิลและเปรู ทวีปอเมริกาใต้ โดยชาวพื้นเมืองเรียกว่า "เกาชู" (cao tchu) แปลว่าต้นไม้ร้องไห้ จนถึงปี พ.ศ. 2313 (1770) โจเซฟ พรีสต์ลีย์ พบว่ายางสามารถนำมาลบรอยดำของดินสอได้ จึงเรียกว่ายางลบหรือตัวลบ (rubber) ซึ่งเป็นศัพท์ใช้ในอังกฤษและเนเธอร์แลนด์เท่านั้น ศูนย์กลางของการเพาะปลูกและซื้อขายยางในอเมริกาใต้แต่ดั้งเดิมอยู่ที่รัฐปารา (Pará) ของบราซิล ยางชนิดนี้จึงมีชื่อเรียกว่า ยางพารา
การปลูกยางในประเทศไทย
การปลูกยางในประเทศไทยไม่มีการบันทึกเป็นหลักฐานที่แน่นอน แต่คาดว่าน่าจะเริ่มมีการปลูกในช่วงประมาณปี พ.ศ. 2442-2444 ซึ่งพระยารัษฏานุประดิษฐ์ มหิศรภักดี (คอซิมบี้ ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรังในขณะนั้น ได้นำเมล็ดยางพารามาปลูกที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง เป็นครั้งแรก ซึ่งชาวบ้านเรียกต้นยางชุดแรกนี้ว่า "ต้นยางเทศา"  และต่อมาได้มีการขยายพันธ์ยางมาปลูกในบริเวณจังหวัดตรังและนราธิวาส ในปี พ.ศ. 2454 ได้มีการนำพันธุ์ยางมาปลูกในจังหวัดจันทบุรีซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยหลวงราชไมตรี (ปูม ปุณศรี) เป็นผู้นำพันธุ์ยางมาปลูก และนับจากนั้นเป็นต้นมาได้มีการขยายพันธุ์ปลูกยางพาราไปทั่วทั้ง 14 จังหวัดในภาคใต้ และ 3 จังหวัดในภาคตะวันออก นอกจากนี้ยังมีการขยายพันธุ์ยางมาปลูกในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา ยางพาราก็กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย และมีการผลิตเป็นอันดับหนึ่งของโลก
ยางพาราประเภทยางดิบ ผลิตภัณฑ์ยาง และไม้ยางพารา สามารถทำรายได้การส่งออกเป็นอันดับสองของประเทศ ยางพาราจึงถือว่าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย และมีการส่งออกยางธรรมชาติมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 ซึ่งในปี พ.ศ. 2543 มีผลผลิตจากยางธรรมชาติประมาณ 2.4 ล้านตัน มีมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 124,000 ล้านบาท เดิมพื้นที่ที่มีการปลูกยางส่วนใหญ่จะอยู่ในภาคใต้และภาคตะวันออก แต่ในปัจจุบันมีการขยายการปลูกเพิ่มขึ้นไปยังภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตก โดยเฉพาะยางพาราจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างในเขตจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดศรีสะเกษ จัดเป็นยางพาราคุณภาพดีไม่ต่างจากแหล่งผลิตเดิมในเขตภาคใต้และภาคตะวันออก พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกยางทั่วประเทศมีทั้งหมด 55.1 ล้านไร่ แต่พื้นที่ปลูกจริงมีประมาณ 12.4 ล้านไร่เท่านั้น
การกรีดยาง
การกรีดยางเพื่อให้สะดวกต่อการกรีด และยังคงรักษาความสะอาดของถ้วยรองรับน้ำยางนั้นควรคำนึงถึงระดับความเอียงของรอยกรีดและความคมของมีดที่ใช้กรีดซึ่งต้องคมอยู่เสมอ
·         เวลากรีดยาง : ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการกรีดยางมากที่สุดคือ ช่วง 6.00-8.00 น. เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่สามารถมองเห็นต้นยางได้อย่างชัดเจนและได้ปริมาณน้ำยางใกล้เคียงกับการกรีดยางในตอนเช้ามืด แต่การกรีดยางในช่วงเวลา 1.00-4.00 น. จะให้ปริมาณยางมากกว่าการกรีดยางในตอนเช้าอยู่ร้อยละ 4-5 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ปริมาณน้ำยางมากที่สุดด้วย แต่การกรีดยางในตอนเช้ามืดมีข้อเสีย คือ ง่ายต่อการกรีดบาดเยื่อเจริญส่งผลให้เกิดโรคหน้ายางทั้งยังเป็นการสิ้นเปลืองและไม่มีความปลอดภัยจากสัตว์ร้ายหรือโจรผู้ร้าย
·         การหยุดพักกรีด : ในฤดูแล้ง ใบไม้ผลัดใบหรือฤดูที่มีการผลิใบใหม่ จะหยุดพักการกรีดยางเนื่องจากมีผลต่อการเจริญเติบโตของใบและต้นยาง การกรีดยางในขณะที่ต้นยางเปียก จะทำให้เกิดโรคเส้นดำหรือเปลือกเน่าได้
·         การเพิ่มจำนวนกรีด : สามารถเพิ่มจำนวนวันกรีดได้โดย
o    การเพิ่มวันกรีด : สามารถกรีดในช่วงผลัดใบแต่จะได้น้ำยางในปริมาณน้อย ไม่ควรเร่งน้ำยางโดยใช้สารเคมีควรกรีดเท่าที่จำเป็นและในช่วงฤดูผลิใบต้องไม่มีการกรีดอีก
o    การกรีดยางชดเชย : วันกรีดที่เสียไปในฤดูฝนสามารถกรีดทดแทนได้แต่ไม่ควรเกินกว่า 2 วันในรอยกรีดแปลงเดิม และสามารถกรีดสายในช่วงเวลา 6.00-8.00 น. หากเกิดฝนตกทั้งคืน
o    การกรีดสาย : เมื่อต้นยางเปียกหรือเกิดฝนตกสามารถกรีดหลังเวลาปกติโดยการกรีดสายซึ่งจะกรีดในช่วงเช้าหรือเย็นแต่ในช่วงอากาศร้อนจัดไม่ควรทำการกรีด
โรคและแมลงศัตรูยางพารา
1. โรคใบร่วงและฝักเน่า : โรคเกิดจากเชื้อรา โดยมีอาการใบยางร่วงในขณะที่ใบยังสด
2. โรคราแป้ง : โรคเกิดจากเชื้อรา โดยมีอาการปลายใบอ่อนบิดงอ เปลี่ยนเป็นสีดำและร่วง ใบแก่มีปุยสีขาวเทาใต้ใบ เป็นแผลสีเหลืองก่อนที่จะเป็นเป็นรอยไหม้สีน้ำตาล

เมล็ดยางพารา 
 ยางพารา นอกจากจะกรีดเอาน้ำยางมาทำประโยชน์ตามปริมาณและมูลค่าดังกล่าวแล้ว ยางพารายังมีเมล็ดที่ให้น้ำมันซึ่งสามารถนำไปทำประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมอื่นได้อีก โดยเฉลี่ยยางที่มีอายุ ๓-๕ ปีขึ้นไป จะให้เมล็ดเฉลี่ยแล้วไร่ละประมาณ ๑๐ กิโลกรัม หรือยางพารา ๗ ล้านไร่ทั่วประเทศ จะได้เมล็ดยางถึง ๗๐,๐๐๐ ตัน แต่การใช้ประโยชน์จากเมล็ดหรือน้ำมันจากเมล็ดยางยังน้อยมาก
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร เมล็ดยางใช้ทำต้นตอปลูกปีละประมาณ ๓๖๐ ตัน และใช้สกัดทำน้ำมันปีละประมาณ ๑๐๐๐ ตันเท่านั้น นอกจากนั้นจะถูกทิ้งจมดินทับถมกันไปปีต่อปี
โรงงานสกัดน้ำมันในท้องถิ่น         
เมล็ดยางพาราจากทางภาคตะวันออกจะแก่และร่วงหล่นก่อนภาคใต้ประมาณ ๒ เดือน ทางภาคตะวันออกจึงมีเมล็ดยางประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ส่วนภาคใต้เมล็ดยางจะแก่และร่วงหล่นประมาณเดือนกันยายน-ตุลาคม และมีโรงงานที่ใกล้จังหวัดที่ปลูกยางรับซื้อมาสกัดน้ำมัน โรงงานเหล่านี้กระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ คือ สงขลา ปัตตานี ตรัง สุราษฎร์ธานี ระยอง ชลบุรี ราชบุรี นครปฐม น้ำมันที่ได้นำไปใช้ผสมสี กากจากการสกัดน้ำมันใช้ผสมในอาหารสัตว์ และมีการส่งออกกากเมล็ดยางไปประเทศญี่ปุ่นด้วย โดยบริษัทไทยคอมมอดิตี้ จำกัด
ข้อด้อยของน้ำมันเมล็ดยางพารา ปัญหาและวิธีแก้ไข
เมล็ดยางมีน้ำมันร้อยละ ๒๕-๓๐ ถ้าสกัดทั้งเปลือก แต่ถ้าแยกเอาเปลือกออกสกัดเฉพาะเนื้อในจะให้น้ำมันร้อยละ ๔๕-๕๐ การสกัดทั้งเปลือกแม้จะให้น้ำมันน้อยกว่า แต่จะประหวัดแรงงานและการลงทุนมากกว่าสกัดเฉพาะเนื้อใน ดังนั้นจึงไม่มีโรงงานใดกะเทาะเปลือกก่อนการสกัดน้ำมัน
น้ำมันจากเมล็ดยางพารามีคุณสมบัติที่ด้อยกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ อยู่หลายประการ เป็นต้นว่าจะมีค่ากรดขึ้นสูงและสีจะเข้มจนดำในเวลาอันสั้น น้ำมันจะมีการแห้งตัวช้า มีลักาณะเป็นน้ำมันกึ่งแห้งเร็ว ยิ่งเก็บไว้นานจะยิ่งเสื่อมคุณภาพในการแห้งลงไปและสีก็จะคล้ำลงตามลำดับ ซึ่งแก้ไขด้วยวิธีอบเมล็ด ๘๐-๑๐๐ องศาเซลเซียส ใช้เวลาประมาณ ๘ ชั่วโมง เมล็ดที่ผ่านการอบแล้วจะเก็บไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง การเก็บเมล็ดที่มีความชื้นต่ำจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้น้ำมันมีคุณภาพดี
เมื่ออบเมล็ดไล่ความชื้นแล้วนำเข้าเครื่องบีบอัดได้ทันทีและถ้านำน้ำมันที่ได้ผ่านกรรมวิธีฟอกสีทันที ที่อุณหภูมิ ๙๐-๑๑๐ องศาเซลเซียส ใช้ผงฟอกสี ๓-๕ เปอร์เซ็นต์ จะช่วยลดสีของน้ำมันลงได้มากและสามารถจะเก็บน้ำมันได้ข้ามปี โดยจะมีสีเข้มขึ้นเพียงเล็กน้อย
คุณภาพที่พัฒนาได้
น้ำมันจากเมล็ดยางพาราใช้บริโภคไม่ได้เช่นเดียวกับน้ำมันลินสีด และยังไม่มีประเทศใดนำน้ำมันเมล็ดยางพารามาใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม เพราะน้ำมันเมล็ดยางพารามีจุดอ่อนอยู่หลายประการดังได้กล่าวมาแล้ว จึงได้มีการพัฒนาน้ำมันเมล็ดยางพารา โดยปรับปรุงคุณสมบัติขึ้นมาให้ใกล้เคียงกับน้ำมันลินสีด ซึ่งเป็นที่ราบกันดีว่าเป็นน้ำมันที่ใช้สำหรับอุตสาหกรรมเคลือบผิวหน้าประเภทสีและหมึกพิมพ์โดยเฉพาะ โดยการผสมน้ำมันเมล็ดยางพารากับน้ำมันแห้งเร็วบางชนิด เช่นน้ำมันมะพอกและน้ำมันมะเยา ซึ่งมีอยู่แล้วภายในประเทศ นับว่าได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีเยี่ยมในการใช้น้ำมันเมล็ดยางพาราเข้าสู่อุตสาหกรรมหมึกพิมพ์ออฟเซ็ทสีดำ และขณะนี้หมวดหมึกพิมพ์ของโรงพิมพ์ครุสภาลาดพร้าวได้ผลิตเพื่อใช้พิมพ์แบบเรียนทั่วประเทส และยังได้ผลิตจำหน่ายแก่เอกชนและส่วนราชการแล้ว ในราคาถูกกว่าหมึกพิมพ์ออฟเซ็ทสีดำทั่ว ๆ ไปมาก ในอนาคตอันใกล้นี้ผลงานนี้นอกจากจะเป็นการทดแทนการนำเข้าแล้วยังจะสามารถส่งออกได้อีกด้วย

 เศรษฐกิจพอเพียง  เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา  และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ โดยปัญญาชนในสังคมไทยหลายท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น ศ.นพ.ประเวศ วะสี, ศ.เสน่ห์ จามริก, ศ.อภิชัย พันธเสน, และศ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเคยถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งนับตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 และได้ช่วยให้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9   และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน โดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ

หลักปรัชญา
...การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมีพอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่าง ๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด...
 พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง

แผนภาพแสดงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 3 ห่วง 2 เงื่อนไข
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้" และ "คุณธรรม"
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง อธิบายถึงการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ว่า เป็นการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบละคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ปัจจัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยความรู้ และคุณธรรม เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน ส่วนเงื่อนไขคุณธรรม คือ การยึดถือคุณธรรมต่างๆ อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ ตลอดเวลาที่ประยุกต์ใช้ปรัชญา
อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต ซึ่ง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวว่า "หลาย ๆ คนกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนจน ซึ่งเป็นการปรับตัวเข้าสู่คุณภาพ" และ "การลงมือทำด้วยความมีเหตุมีผล เป็นคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง"
การนำไปใช้
           ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ถูกใช้เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งบรรจุอยู่ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า "สังคมสีเขียว" ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท
แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ยังถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญของไทย เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ในส่วนที่ 3 แนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน มาตรา 78 (1) ความว่า "บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปเพื่อการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคง ของประเทศอย่างยั่งยืน โดยต้องส่งเสริมการดำเนินการตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติในภาพรวมเป็นสำคัญ"
  นายสุรเกียรติ เสถียรไทย ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ได้กล่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ในการประชุมสุดยอด The Francophonie Ouagadougou ครั้งที่ 10 ที่ Burkina Faso ว่า ประเทศไทยได้ยึดแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ควบคู่กับ "การพัฒนาแบบยั่งยืน" ในการพัฒนาประเทศทั้งทางด้านการเกษตรกรรม เศรษฐกิจ และการแข่งขัน ซึ่งเป็นการสอดคล้องเป้าหมายแนวทางของนานาชาติในประชาคมโลก โดยยกตัวอย่างการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. 2540 ซึ่งเมื่อยึดหลักปรัชญาในการแก้ปัญหาสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ของไทยเติบโตได้ถึงร้อยละ 6.7
นอกประเทศไทย
การประยุกต์นำหลักปรัชญาเพื่อนำพัฒนาประเทศในต่างประเทศนั้น ประเทศไทยได้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน ผ่านทางสำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ โดยมีหน้าที่ คอยประสานงานรับความช่วยเหลือทางวิชาการด้านต่าง ๆ จากต่างประเทศมาสู่ภาครัฐ แล้วถ่ายทอดต่อไปยังภาคประชาชน และยังส่งผ่านความรู้ที่มีไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น สำนักงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศได้ถ่ายทอดมาไม่ต่ำกว่า 5 ปี และประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งต่างชาติก็สนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เพราะพิสูจน์แล้วว่าเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ซึ่งแต่ละประเทศมีความต้องการประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวิถีชีวิต สภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละประเทศ โดยได้ให้ผู้แทนจากประเทศเหล่านี้ได้มาดูงานในหลายระดับ ทั้งเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบาย จนถึงระดับปลัดกระทรวง และรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่าง ๆ
นอกจากนั้นอดิเทพ ภาณุพงศ์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้กล่าวว่า ต่างชาติสนใจเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง  เนื่องจากมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงห่วงใยราษฎรของพระองค์ และทราบสาเหตุที่รัฐบาลไทยนำมาเป็นนโยบาย ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องการศึกษาเพื่อนำไปช่วยเหลือประเทศอื่น
ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวถึงผลสำเร็จอย่างหนึ่งของเศรษฐกิจพอเพียงโดยองค์การสหประชาชาติ คือ "สหประชาชาติเห็นด้วยกับพระมหากษัตริย์ในเรื่องนี้ [เศรษฐกิจพอเพียง] โดยเริ่มใช้มาตรวัดคุณภาพชีวิตในการวัดความเจริญของแต่ละประเทศ แทนอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งกล่าวถึงแต่ความเจริญทางเศรษฐกิจเท่านั้น"
ความเข้าใจของประชาชนชาวไทย  
                ปัญหาหนึ่งของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ก็คือ ผู้นำไปใช้อาจยังไม่ได้ศึกษาหรือไม่มีความรู้เพียงพอ ทั้งยังไม่กล้าวิเคราะห์หรือตั้งคำถามต่อตัวปรัชญา เนื่องจากเป็นปรัชญาของพระมหากษัตริย์



บทที่ 3
วิธีการดำเนินการศึกษา

    แผนปฏิบัติกิจกรรมโครงงาน

ที่
           กิจกรรม
ระยะเวลา
สถานที่ทำกิจกรรม
ผู้รับผิดชอบ
1
-เลือกหัวข้อในการทำโครงงานและพร้อมทั้งเหตุผลในการทำโครงงาน
29 ก.ค.56
ห้องเรียน ห้อง 112
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา
2
-ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารจากหนังสือเรียน และในเว็บไซด์ต่างๆ
1พ.ย.56 - 21พ.ย.56
ห้องเรียน ห้อง 112
ศูนย์ ICTชุมชน
สมาชิกในกลุ่ม
3
- เสนอเค้าโครงงาน
22 พ.ย.56
ห้องวิชาการ
สมาชิกในกลุ่มครูที่ปรึกษา
4
-ส่วนค่าใช้จ่ายเก็บคนละ 50 บาท ทำรายงานเพื่อขอเบิกอุปกรณ์
23พ.ย.56-27พ.ย.56
136 ม.1ต.คลองพน อ.คลองท่อม จ.กระบี่
สมาชิกในกลุ่ม
5
-จัดหาวัสดุอุปกรณ์และแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ
-ติดต่อวิทยากรท้องถิ่น
  28พ.ย.56 - 6ส.ค.                 56
ใต้ถุนอาคารเรียน 1
ห้องสมุด
สมาชิกในกลุ่ม
6
-ลงมือปฏิบัติทำพวงกุญแจ
7ส.ค.56
ใต้ถุนอาคารเรียน 1
สมาชิกในกลุ่ม
นางอรจิต  ประสงค์ศิลป์
7
-สรุปผลการปฏิบัติกิจกรรม
10ส.ค.56 - 20ส.ค.56
ห้องสมุด
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา
8
จัดพิมพ์รูปเล่มรายงาน
โครงงาน
21ส.ค.56-27ส.ค.56
ศูนย์ ICTชุมชน
สมาชิกในกลุ่ม
-นำเสนอการทำพวงกุญแจและรายงานผลการปฏิบัติงาน
29ส.ค.56
ห้องเรียน ห้อง 112
สมาชิกในกลุ่ม
ครูที่ปรึกษา

อุปกรณ์                                                                                                                                                               1.ลูกยางพารา      2.พวงกุญแจ      3.(กาวแท่ง)ปืนกาว       4.ลวดขนหยี         5.ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป       6.ตะปู    7.กรรไกร        8.คัตเตอร์

วิธีการศึกษา
1.ศึกษาจากวิทยากรท้องถิ่น  โดยสอบถามคุณและฝึกปฏิบัติทำพวงกุญแจจากลูกยางพารา                           
2.ศึกษาจากเอกสารอ้างอิง  และคำบอกเล่าของผู้รู้                                                                                                  
3.ประเด็นการศึกษา                                                                                                                                                                        ---ศึกษาการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้  
-ศึกษาวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย

ผลการศึกษา
 -ได้ทราบถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้  
 -ได้ทราบถึงวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย


                                                                                                                                                                                                                                             
บทที่ 4
ผลการดำเนินงานการศึกษาและอภิปรายผลการศึกษา

1.ได้ทราบถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้  
2.ได้ทราบถึงวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย















บทที่5
สรุปผลการศึกษา

สรุปผลการศึกษา

ประโยชน์ที่ได้รับ
1.ได้เพิ่มมูลค่าให้กับลูกยางพาราโดยนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในรูปแบบพวงกุญแจหรือของชำร่วย

ข้อเสนอแนะ
การเพิ่มมูลค่าให้ลูกยางพาราหรือวัสดุในท้องถิ่นสามารถทำได้หลายวิธี

















เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการศึกษา(ต้นทุน)

อุปกรณ์
แบบที่1 (จำนวน5ชิ้น)
แบบที่2 (จำนวน5ชิ้น)
1.ลูกยางพารา
5 เมล็ด
15 เมล็ด
2.พวงกุญแจ
5 พวง
5 พวง
3.(กาวแท่ง)ปืนกาว
1 แท่ง
2 แท่ง
4.ลวดขนหยี คละสีได้ตามความชอบ
2 เส้น
3 เส้น
5.ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป
5 คู่
5 คู่
6.ตะปู
1 ตัว
7.กรรไกร
1 อัน
8.คัตเตอร์
1 อัน
9.ลูกปัด
10 ลูก
25 ลูก
ต้นทุน (ต่อ1พวง)
45 บาท
52 บาท
ราคาจำหน่าย (ต่อ1พวง)
10 บาท
15 บาท

รายรับ
รายจ่าย

ว/ด/ป

รายการ
จำนวนเงิน
ว/ด/ป
ลำดับ

รายการ
จำนวน
ราคา/หน่วย
จำนวนเงิน
หมายเหตุ


เก็บเงินสมาชิกในกลุ่มคนละ 25 บาท (มี6คน)
150บ.

1
พวงกุญแจ
กาวแท่ง)ปืนกาว
ลวดขนหยี
ลูกตาสัตว์สำเร็จรูป
ลูกปัด
รวมรายจ่าย
เหลือ
12 พวง
3 แท่ง
23 เส้น
7 คู่
4 ถุง
20 บ.
9 บ.
46 บ.
28 บ.
32 บ.
130บ.
20บ.




20 บ.


บรรณานุกรม
http://www.thaikasetsart.com/เมล็ดยางพารา
http://th.wikipedia.org/เศรษฐกิจพอเพียง






















ภาคผนวก



















               


                

1 ความคิดเห็น:

  1. Do you understand there is a 12 word phrase you can communicate to your partner... that will trigger deep emotions of love and impulsive attraction to you buried within his heart?

    Because hidden in these 12 words is a "secret signal" that triggers a man's instinct to love, idolize and care for you with all his heart...

    ====> 12 Words Who Fuel A Man's Love Impulse

    This instinct is so hardwired into a man's brain that it will make him work harder than ever before to to be the best lover he can be.

    In fact, fueling this all-powerful instinct is absolutely essential to getting the best ever relationship with your man that once you send your man one of these "Secret Signals"...

    ...You'll immediately notice him expose his heart and mind to you in a way he's never experienced before and he will see you as the only woman in the world who has ever truly understood him.

    ตอบลบ